การวิเคราะห์งาน
สาระการเรียนรู้
1.ความหมายของการวิเคราะห์งานหรือการวิเคราะห์ปัญหา
2.หลักการวิเคราะห์ปัญหา
3.การวิเคราะห์สิ่งที่โจทย์ต้องการ
4.การวิเคราะห์ข้อมูลนำเข้า
5.การวิเคราะห์ข้อมูลออก
6.การวิเคราะห์ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
7.การวิเคราะห์วิธีการประมวลผล
8.หลักการตั้งชื่อตัวแปร
จุดดประสงค์การเรียนรู้
1.ทำความเข้าใจกับปัญหาและวิเคราะห์สิ่งที่โจทย์ต้องการได้
2.อธิบายลักษณะข้อมูลเข้าได้
3.อธิบายลักษณะข้อมูลออกได้
4.ทดลองแก้ไขปัญหาด้วยตนเองได้
5.วิเคราะห์ตัวแปรที่ใช้ได้
6.วิเคราะห์วิธีการประมวลผลได้
7.ทำการพัฒนาลำดับขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหาได้
8.มีความสนใจใฝ่เรียนรู้ ตั้งใจเรียน
9.มีวินัย เข้าเรียนทันเวลา ปฏิบัติตามกฎระเบียบของวิทยาลัยฯ
10.มีความรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย
11.มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีความเชื่อมั่นกล้าลองผิดลองถูก
12.มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น
การวิเคราะห์งาน หมายถึง
การวิเคราะห์ปัญหา เป็นขั้นตอนที่สำคัญของการเขียนโปรแกรม
เป็นการวิเคราะห์ถึงลักษณะของงาน รายละเอียดปัญหาของงานนั้น ๆ
การวิเคราะห์งานเป็นขั้นตอนแรกที่ต้องกระทำเมื่อต้องการเขียนโปรแกรม
และเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด โดยจะต้องกำหนดขอบเขตของงานหรือปัญหา
รวบรวมรายละเอียดของปัญหา วิเคราะห์ปัญหาอย่างละเอียด ว่าต้องการให้คอมพิวเตอร์ทำอะไร
ผลลัพธ์ที่ต้องการเป็นอย่างไร รูปแบบของข้อมูลที่จะป้อนเข้าเครื่องเป็นอย่างไร
ถ้าต้องการผลลัพธ์เช่นนี้ การวิเคราะห์งานเป็นการศึกษาผลลัพธ์ (Output) ข้อมูลนำเข้า (Input) วิธีการประมวลผล
(Process) และการกำหนดชื่อของตัวแปรที่จะใช้ในการเขียนโปรแกรม
หลักเกณฑ์ในการวิเคราะห์งาน
การวิเคราะห์งานนับว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการเขียนโปรแกรม
เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทางาน ซึ่งมีหลักเกณฑ์การวิเคราะห์งานตามลำดับดังนี้
1.การวิเคราะห์สิ่งที่โจทย์ต้องการ
หมายถึง การพิจารณาอย่างกว้าง ๆ ถึงงานที่ต้องการให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
งานแต่ละชนิดอาจต้องการให้คอมพิวเตอร์แสดงผลลัพธ์มากกว่า 1 อย่าง และควรจะเขียนให้ชัดเจนเป็นข้อ ๆ
ในการพิจารณาสิ่งที่ต้องการอาจจะดูที่คาสั่งหรือโจทย์ของงานนั้น ๆ ว่าต้องการให้ทำอะไรบ้าง
เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้คอมพิวเตอร์ทางาน เช่น
การคำนวณเงินรวมของสินค้า , การคำนวณภาษี , การคำนวณหาค่าคอมมิชชั่นหรือค่านายหน้า , การคำนวณหาค่าแรง,
การคำนวณหาเงินเดือน เป็นต้น
เพราะในการเขียนโปรแกรมจะต้องทราบอย่างชัดเจนว่า ต้องการให้คอมพิวเตอร์ทาอะไร
2.การวิเคราะห์รูปแบบของผลลัพธ์ (Output)
หมายถึง
การวิเคราะห์ถึงลักษณะของผลลัพธ์หรือรายงาน หรือรูปแบบของผลลัพธ์ที่เราต้องการให้คอมพิวเตอร์แสดงออกมา
รายละเอียดที่ต้องการในรายงานหรือผลลัพธ์นั้น ๆ
เป็นหน้าที่ของผู้เขียนโปรแกรมที่จะต้องกำหนดรูปแบบว่างานที่ต้องการให้คอมพิวเตอร์ทานั้น
ควรจะมีรายละเอียดอะไร เพื่อความสะดวกของผู้นาผลลัพธ์ไปใช้
การวิเคราะห์ผลลัพธ์เป็นสิ่งที่จำเป็นและมีความสำคัญ และต้องพิจารณาอย่างละเอียด
เพราะการวิเคราะห์รายงานจะทำให้เราทราบจุดหมายที่ต้องการ
หรือเป็นการกำหนดขอบเขตของงานที่เราต้องการจะทำนั่นเอง
ในการออกแบบรายงานของผลลัพธ์จะประกอบด้วย
3 ส่วน ดังนี้
· ส่วนหัวของรายงาน
· ส่วนรายละเอียดของข้อมูล
· ส่วนท้ายของรายงาน
3.การวิเคราะห์ข้อมูลนาเข้า (Input)
หมายถึง
ข้อมูลที่ป้อนเข้าไปในคอมพิวเตอร์ เพื่อทำการประมวลผลให้ได้ผลลัพธ์ออกมาตามรูปแบบที่ต้องการ
เป็นขั้นตอนที่ต้องทำต่อจากการวิเคราะห์ผลลัพธ์ คือ
หลังจากที่เราได้ลักษณะของรายงานแน่นอนแล้ว เราก็มาพิจารณาว่าลักษณะของผลลัพธ์นั้น
จะต้องมีข้อมูลนำเข้าอะไรบ้าง เพื่อที่จะให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
ในการพิจารณาข้อมูลนำเข้าเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานนั้น จะต้องคำนึงถึงความสอดคล้องของข้อมูลกับโปรกรม
โดยจะมีการลำดับก่อนหลัง กำหนดชนิดของข้อมูลว่าเป็นชนิดอะไรบ้าง
ถ้าเป็นข้อมูลชนิดตัวเลข จะกำหนดทศนิยมกี่หลัก เป็นต้น
4.การวิเคราะห์ตัวแปรที่จะใช้
เป็นการกำหนดชื่อแทนความหมายของข้อมูลต่าง
ๆ เพื่อความสะดวกในการอ้างถึงข้อมูล และการเขียนโปรแกรม
การตั้งชื่อตัวแปรควรจะตั้งให้มีความหมายและเกี่ยวข้องกับข้อมูล
และควรตั้งชื่อตัวแปรให้เข้ากับหลักเกณฑ์ของภาษาคอมพิวเตอร์นั้น ๆ
5.การวิเคราะห์วิธีการประมวลผล
เป็นขั้นตอนที่จะบอกถึงวิธีการคำนวณ
หรือลาดับการทำงานก่อนหลังคำนวณเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ผู้ใช้ต้องการ
ตั้งแต่การสั่งให้เครื่องรับข้อมูลเข้าไปทำการประมวลผลและแสดงผลลัพธ์ออกมา
ซึ่งเป็นขั้นตอนที่จะต้องแสดงการทำงานทุกอย่างตามลำดับ
จึงจาเป็นจะต้องจัดลาดับการทำงานตามลาดับก่อนหลังให้ละเอียดและถูกต้องทุกขั้นตอน
เพราะในขั้นตอนนี้จะเป็นการนำเอาลำดับขั้นตอนการทางานที่ได้วิเคราะห์แล้ว
ไปเขียนโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ ลำดับขั้นตอนการประมวลผลเขียนได้ 2 รูปแบบ คือ
1.เขียนลำดับขั้นตอนการทำงานในรูปของการบรรยาย
2.เขียนลำดับขั้นตอนการทำงานในลักษณะของผังงาน (Flowcharting)
การพัฒนาขั้นตอนวิธีการประมวลผล
(Algorithm Development)
ขั้นตอนของการพัฒนาลำดับขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา
เป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหนึ่ง
เพราะเป็นขั้นตอนที่จะนำไปใช้สาหรับพัฒนาให้เป็นโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ต่อไป
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่นำเอาวิธีการสาหรับการแก้ปัญหา
ที่ได้ทำการเลือกจากขั้นตอนของการทดลองแก้ปัญหาด้วยตนเอง มาทาการเรียบเรียงเป็นลำดับขั้นตอนวิธีการทำงาน
โดยเขียนขั้นตอนวิธีการทำงานเป็นข้อตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้าย
ขั้นตอนวิธี (Algorithm) คือ
การเขียนอธิบายถึงลำดับขั้นตอนการทำงานของการแก้ปัญหาในลักษณะของข้อความตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้าย
การพัฒนาลำดับขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา มีวิธีการดังนี้
1.เขียนลำดับขั้นตอนวิธีการทำงานทั้งหมดอย่างย่อ
เป็นการเขียนการทำงานแต่ละขั้นตอนอย่างย่อไม่ละเอียดมากนัก
ตั้งแต่ขั้นตอนแรกถึงขั้นตอนสุดท้าย เพื่อดูภาพรวมของการทำงานของขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหาทั้งหมด
2.เขียนลำดับขั้นตอนวิธีการทำงานทั้งหมดอย่างละเอียด
เป็นการเขียนรายละเอียดของการทำงานของแต่ละขั้นตอนที่ไดจากข้อ 1 เพื่อให้สามารถทำการเปลี่ยนให้เป็นคำสั่งเทียมและโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์
3.เขียนลำดับขั้นตอนวิธีการทำงานแต่ละข้อให้อยู่ในรูปของคำสั่งเทียม
คำสั่งเทียม (Pseudo Code) เป็นภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษาคอมพิวเตอร์
ส่วนใหญ่นิยมเขียนเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อผู้ที่ทำการเขียนโปรแกรมต้องการนำขั้นตอนวิธีการทำงานที่ได้เรียบเรียงขึ้นมาทำการเขียนเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์
สามารถทำได้โดยการเปลี่ยนจากคำสั่งเทียมให้เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ตามที่ต้องการ
หลักในการตั้งชื่อตัวแปร
การตั้งชื่อตัวแปร
เป็นการกำหนดชื่อเพื่อเก็บค่าของข้อมูลที่รับเข้ามาหรือใช้แทนความหมาย
เก็บค่าที่ได้จากการประมวลผล
การตั้งชื่อตัวแปรนั้นจะมีหลักในการตั้งชื่อที่แตกต่างกันออกไปแล้วแต่โปรแกรม ในการตั้งชื่อที่ดีนั้นจะต้องตั้งชื่อตัวแปรให้มีความหมายใกล้เคียงกับข้อมูลมากที่สุดและอยู่ในกฎเกณฑ์ของการตั้งชื่อตัวแปรของภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ด้วย
1.จะต้องขึ้นต้นด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ
ตัวต่อไปจะเป็นตัวอักษรหือตัวเลขก็ได้ ยกเว้นช่องว่าง หรือสัญลักษณ์พิเศษ เช่น + , - , * , / , ฯลฯ แต่สามารถใช้เครื่องหมายขีดล่างได้
2.ในการตั้งชื่อตัวแปรจะตั้งอย่างไรก็ได้ตามกฎเกณฑ์ข้อที่ 1
แต่ควรตั้งให้ สื่อความหมายเพื่อให้ทราบว่าตัวแปรนั้นเก็บข้อมูลอะไร เช่น
CODE ใช้เก็บรหัสประจำตัวพนักงาน
SALARY ใช้เก็บข้อมูลเงินเดือน
TAX ใช้เก็บข้อมูลของภาษี
หลักการตั้งชื่อตัวแปรจะมีลักษณะคล้ายกันทุกภาษา โดยแบ่งตัวแปรออกเป็น
3 ชนิด ดังนี้
· ตัวแปรชนิดตัวเลข (Numeric
Variable)เป็นตัวแปรที่เก็บข้อมูลที่เป็นตัวเลข
และสามารถนำไปคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้ ทั้งจำนวนเต็มและทศนิยม ได้แก่ ข้อมูล
เงินเดือน , น้ำหนัก , ส่วนสูง , อายุ , ระยะทาง ,
ราคา เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น Salary = 15000
Price = 2500
· ตัวแปรชนิดตัวอักษร (Alphabetic
Variable)เป็นตัวแปรที่เก็บข้อมูลที่เป็นตัวอักษร
คือ A – Z และค่าที่ไม่สามารถนำไปคำนวณได้ ได้แก่ ชื่อ-สกุล
, วุฒิการศึกษา , ภูมิลำเนา เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น Name = Chulalak
Surname = Thachaila
· ตัวแปรชนิดตัวเลขและตัวอักษร (Alphanumeric
Variable) ประกอบด้วยตัวเลขและตัวอักษรปนกัน
หรือสัญลักษณ์พิเศษอื่น ๆ แต่ไม่สามารถนำไปคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้ เช่นข้อมูลที่อยู่
, เบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น Address = 211
Mahasarakham 44000
Adds = Dusit Bangkok
ตัวอย่างการตั้งชื่อตัวแปรที่สอดคล้องกับข้อมูล
ชื่อตัวแปร
|
ข้อมูล
|
ID
, CODE , NO,KEY,NUMBER
TOTAL
, SUM , NET
COUNT
AVERAGE
SUM
NUM1
NUM2
AGE
HEIGHT
YEAR
RATE
, INTEREST
SALARY,INCOME
VAT
, TAX
OT
, EXTRA
ADDRERR
, ADDR
TEL,PHONE,MOBILE
PRICE
PROFIT
COST
MONEY
BONUS,EXTRA
COMMISION
|
รหัสประจำตัว , เลขประจำตัว ,เลขที่ ,หมายเลขสินค้า
,รหัสสิ่งของ
ผลรวม , จำนวนรวม , ยอดรวม
จำนวนนับต่าง ๆ , จำนวนสิ่งของ
คะแนนเฉลี่ย, เงินเดือนเฉลี่ย , ค่าเฉลี่ยต่าง ๆ
ผลบวกของจำนวนเลข , ผลรวมค่าต่าง ๆ
จำนวนเลขตัวที่ 1
จำนวนเลขตัวที่ 2
อายุ
ความสูง
จำนวนปี , อายุงาน , ระยะเวลาทำงาน
อัตราดอกเบี้ย
เงินเดือน , ค่าแรง , ค่าจ้าง
ภาษีต่าง ๆ
เงินค่าล่วงเวลา , เงินพิเศษ
ที่อยู่ , บ้านเลขที่
เบอร์โทรศัพท์
ราคาขายสินค้า
กำไร
ราคาต้นทุนสินค้า
จำนวนเงิน , มูลค่าของสิ่งของ
เงินโบนัสพิเศษ
ค่านายหน้า
|
ทดลองแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
เป็นขั้นตอนที่ทดลองหาวิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยหาวิธีในการแก้ปัญหานั้น
ๆ ว่ามีวิธีการแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร ถึงจะถูกต้องและรวดเร็วมากที่สุด
ทั้งนี้ให้สมมติข้อมูลขึ้นมา แล้วหาวิธีการแก้ปัญหาในแบบต่าง ๆ เพื่อหาวิธีที่ดีที่สุด
และนำวิธีที่คิดได้ไปให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำการแก้ไขต่อไป
เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานหรือสั่งการแก้ปัญหาเองได้
ยังคงต้องอาศัยการสั่งงานจากมนุษย์ และถ้าการแก้ไขปัญหาที่คิดขึ้นถูกต้อง
ข้อมูลผลลัพธ์ที่ได้จากคอมพิวเตอร์ก็จะถูกต้องเสมอ แต่ถ้าการแก้ปัญหาไม่ถูกต้อง
แล้วส่งปัญหาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานหาผลลัพธ์
ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาก็จะไม่ถูกต้องตลอดเป็นขั้นตอนที่ทดลองหาวิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเอง
โดยหาวิธีในการแก้ปัญหานั้น ๆ ว่ามีวิธีการแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร
ถึงจะถูกต้องและรวดเร็วมากที่สุด ทั้งนี้ให้สมมติข้อมูลขึ้นมา แล้วหาวิธีการแก้ปัญหาในแบบต่าง
ๆ เพื่อหาวิธีที่ดีที่สุด
และนำวิธีที่คิดได้ไปให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำการแก้ไขต่อไป
เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานหรือสั่งการแก้ปัญหาเองได้
ยังคงต้องอาศัยการสั่งงานจากมนุษย์ และถ้าการแก้ไขปัญหาที่คิดขึ้นถูกต้อง
ข้อมูลผลลัพธ์ที่ได้จากคอมพิวเตอร์ก็จะถูกต้องเสมอ แต่ถ้าการแก้ปัญหาไม่ถูกต้อง
แล้วส่งปัญหาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานหาผลลัพธ์
ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาก็จะไม่ถูกต้องตลอดเป็นขั้นตอนที่ทดลองหาวิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเอง
โดยหาวิธีในการแก้ปัญหานั้น ๆ ว่ามีวิธีการแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร ถึงจะถูกต้องและรวดเร็วมากที่สุด
ทั้งนี้ให้สมมติข้อมูลขึ้นมา แล้วหาวิธีการแก้ปัญหาในแบบต่าง ๆ
เพื่อหาวิธีที่ดีที่สุด และนำวิธีที่คิดได้ไปให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำการแก้ไขต่อไป
เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานหรือสั่งการแก้ปัญหาเองได้
ยังคงต้องอาศัยการสั่งงานจากมนุษย์ และถ้าการแก้ไขปัญหาที่คิดขึ้นถูกต้อง
ข้อมูลผลลัพธ์ที่ได้จากคอมพิวเตอร์ก็จะถูกต้องเสมอ แต่ถ้าการแก้ปัญหาไม่ถูกต้อง
แล้วส่งปัญหาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานหาผลลัพธ์
ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาก็จะไม่ถูกต้องตลอด
ตัวอย่าง ในการคำนวณหารายได้สุทธิของนักเขียนโปรแกรมในแต่ละเดือน
นอกจากได้รับเงินเดือนแล้วจะได้รับค่าเขียนโปรแกรม ๆ ละ 1,200 บาท
และหักภาษีของรายได้ไว้เดือนละ 1.5% โดยสมมติข้อมูลนำเข้าดังนี้
1.เงินเดือน 20,000 บาท
2.จานวนโปรแกรม 5 โปรแกรม
ทดลองแก้ปัญหาด้วยตนเอง เพื่อหารายได้สุทธิในเดือนนี้
รายได้ =
เงินเดือน + (จำนวนโปรแกรม *
1200)
ภาษี =
รายได้ *
0.015 = 300
รายได้สุทธิ = 26000
– 300 = 25700
|
จำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระต่อเดือน
รายได้ = 20000 + (5 * 1200) = 26000
ภาษี = 20000 * 0.015 = 300
รายได้สุทธิ = 26000 – 300 = 25700
ทดสอบลำดับขั้นตอน
การทดสอบและแก้ไขโปรแกรม (Program Testing) หลังจากเขียนโปรแกรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต้องทำการทดสอบโปรแกรมที่เขียนว่าทำงานเรียบร้อยดีหรือไม่ มีปัญหาตรงจุดไหนบ้าง และต้องทดสอบทุกจุด
ทุกขั้นตอนหลาย ๆ รูปแบบ หากพบข้อผิดพลาดจะได้ทำการแก้ไข
ข้อผิดพลาดที่ผู้เขียนโปรแกรมมักพบบ่อยในการเขียนโปรแกรมสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
มี 2 แบบ คือ
1.ผิดหลักไวยากรณ์ (Syntax Error) หมายถึงการเขียนคำสั่งในภาษานั้นผิดพลาดถ้าแก้ไขให้ถูกต้องตามรูปแบบของภาษานั้น
ก็สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดนี้ได้
2.ผิดตรรกวิทยา (Logical Error) หมายถึง การเขียนคำสั่งในภาษานั้น ๆ ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
แต่เมื่อสั่งให้โปรแกรมปฏิบัติงานตามคำสั่งของโปรแกรมนั้น ผลลัพธ์ที่ได้อาจเกิดจากการคำนวณผิดพลาด
ให้ผลลัพธ์ไม่ตรงตามความต้องการของผู้ใช้
ตัวอย่างการวิเคราะห์งาน
ตัวอย่าง ที่ 1 จงคำนวณหาจำนวนเงินที่ฝากธนาคาร เมื่อครบเวลา 1 ปี
โดยรับค่าเงินต้นที่ฝาก อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี
วิธีทำ

1.คำนวณเงินฝากพร้อมดอกเบี้ยเมื่อครบ
1 ปี

1.หมายเลขบัญชี
2.ชื่อบัญชี
3.เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเมื่อครบ 1
ปี

1.หมายเลขบัญชี
2.ชื่อบัญชี
3.เงินต้นที่ฝาก

1.หมายเลขบัญชี : No
2.ชื่อบัญชี : Name
3.เงินต้นที่ฝาก : Money

1.เริ่มต้นการทำงาน
2.อ่านค่า No , Name , Money
3.คำนวณ Money = Money + (Money * 0.03)
4.พิมพ์ No , Name , Money
5.จบการทำงาน
ตัวอย่างที่ 2จงคำนวณหาค่าเฉลี่ยของเลข 3 จำนวนที่รับเข้ามาทางแป้นพิมพ์
วิธีทำ

1.ค่าเฉลี่ยของเลข 3 จานวน

1.หมายเลขจำนวนที่ 1
2.หมายเลขจำนวนที่ 2
3.หมายเลขจำนวนที่ 3
4.ค่าเฉลี่ยของเลข 3 จำนวน

1.หมายเลขจานวนที่ 1
2.หมายเลขจานวนที่ 2
3.หมายเลขจานวนที่ 3

1.หมายเลขจำนวนที่ 1: Num1
2.หมายเลขจำนวนที่ 2: Num2
3.หมายเลขจำนวนที่ 3: Num3
4.ค่าเฉลี่ยของเลข 3 จำนวน :Aver

1.เริ่มต้นการทำงาน
2.อ่านค่าNum1 , Num2 , Num3
3.คำนวณค่าเฉลี่ย Aver = (Num1 + Num2 + Num3) / 3
4.พิมพ์ Num1, Num2 , Num3 , Aver
5.จบการทำงาน
ตัวอย่าง ที่
3
จงคำนวณหาพื้นที่ของวงกลม จากสูตร
วิธีทำ

1.คำนวณพื้นที่วงกลม

1.รัศมีวงกลม
2.พื้นที่วงกลม

1.รัศมีวงกลม

1.รัศมีวงกลม: Radius
2.พื้นที่วงกลม: Area

1.เริ่มต้นการทางาน
2.อ่านค่า Radius
3.คำนวณพื้นที่ Area = 22/7
* Radius2
4.พิมพ์ Radius , Area
5.จบการทำงาน
ตัวอย่าง ที่ 4
จงคำนวณหาเงินส่วนลดและเงินค่าสินค้าสุทธิของร้านค้าการเกษตรแห่งหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ถ้าซื้อสินค้า > 10,000 บาท ให้ส่วนลด 10%
ถ้าซื้อสินค้า 5,000 -
10,000 บาท ให้ส่วนลด 5%
ถ้าซื้อสินค้า 1000 - 4999 บาท ให้ส่วนลด 3%
ถ้าซื้อสินค้า < 1000 บาท
ไม่ให้ส่วนลด

1.คำนวณเงินส่วนลดค่าซื้อสินค้า
2.คำนวณเงินค่าสินค้าสุทธิเมื่อหักส่วนลดแล้วที่ลูกค้าจะต้องจ่าย

1.รหัสสินค้า
2.ราคาสินค้า
3.เงินส่วนลด
4.เงินสุทธิที่ต้องจ่าย

1.รหัสสินค้า
2.ราคาสินค้า

1.รหัสสินค้า : Code
2.ราคาสินค้า : Price
3.เงินส่วนลด : Discount
4.เงินสุทธิที่ต้องจ่าย : Net

1.เริ่มต้นการทำงาน
2.กำหนดค่าของเงินส่วนลดและเงินสุทธิให้เป็น
0 (Discount ,Net 0)
5.อ่านค่า Code , Price




7.Net = Price – Discount
8.พิมพ์ Code, Price ,
Discount, Net
9.จบการทำงาน
ตัวอย่างที่ 5
จงคำนวณหาค่าคอมมิชชั่นจากการขายสินค้าของพนักงานขาย
โดยบริษัทมีเงื่อนไขดังนี้
ถ้าขายสินค้าได้มากกว่า 50,000 บาท ให้คอมมิชชั่น 10%
ถ้าขายสินค้าได้ 20,000 -
50,000 บาท ให้คอมมิชชั่น 7 %
ถ้าขายสินค้าได้น้อยกว่า 20,000 บาท ให้คอมมิชชั่น 5 %
วิธีทำ

1.คำนวณหาค่าคอมมิชชั่นจากการขายสินค้าของพนักงาน

1.รหัสพนักงาน
2.ชื่อพนักงานขาย
3.ยอดขายสินค้า
4.ค่าคอมมิชชั่น

1.รหัสพนักงาน
2.ชื่อพนักงานขาย
3.ยอดขายสินค้า

1.ID= รหัสพนักงาน
2.NAME= ชื่อพนักงานขาย
3.SALE= ยอดขายสินค้า
4.COMMISSION= ค่าคอมมิชชั่น

1.เริ่มต้นการทำงาน
2.พิมพ์หัวตาราง
3.กำหนดให้ยอดรวมเป็น
0 (COMMISSION =0 )
4.อ่านค่า
ID, NAME, SALE
5.ตรวจสอบยอดขายสินค้า
ถ้า SALE >50000 ให้ COMMISSION = SALE * 0.10 มิฉะนั้นแล้ว
ถ้า SALE >= 20000 ให้ COMMISSION = SALE * 0.07 มิฉะนั้นแล้ว
COMMISSION =
SALE * 0.05
6.พิมพ์ค่า
ID, NAME, SALE, COMMISSION
7.จบการทำงาน
ตัวอย่างที่ 6
จงวิเคราะห์ปัญหา
เพื่อคำนวณคะแนนเฉลี่ยจากการสอบวิชาหลักการเขียนโปรแกรมของนักศึกษา 30 คน

1.คะแนนเฉลี่ยวิชาหลักการเขียนโปรแกรม
นักศึกษา 30 คน

1.ชื่อนักศึกษา
2.คะแนนสอบวิชาหลักการเขียนโปรแกรม
3.คะแนนรวมของนักศึกษาจานวน
30 คน
4.คะแนนเฉลี่ย

1.ชื่อนักศึกษา
2.คะแนนสอบวิชาหลักการเขียนโปรแกรม

1.ชื่อนักศึกษา=
NAME
2.คะแนนสอบวิชาหลักการเขียนโปรแกรม
= SCORE
3.คะแนนรวมของนักศึกษาจานวน
30 คน= SUM
4.คะแนนเฉลี่ย=
AVERAGE
5.จานวนนักศึกษา=
I

1.เริ่มต้นการทำงาน
2.กำหนดค่า
SUM = 0, AVERAGE = 0 , I=1
3.ในขณะที่
I <= 30 ให้ทา
3.1
อ่านค่า NAME , SCORE
3.2
คำนวณคะแนนรวม SUM = SUM + SCORE
3.3
พิมพ์ NAME , SCORE
3.4
เพิ่มค่า I = I + 1
4.คำนวณคะแนนเฉลี่ย
AVERAGE = SUM/30
5.พิมพ์
SUM , AVERAGE
6.จบการทำงาน
ตัวอย่างที่ 7
จงวิเคราะห์ปัญหาเพื่อคำนวณเงินส่วนลดและราคาสุทธิ
ค่าซื้อผ้าพื้นเมืองของกลุ่มแม่บ้านแห่งหนึ่ง โดยทางกลุ่มตั้งราคาขาย
และกำหนดเงื่อนไขการให้ส่วนลดดังนี้
1.ถ้าซื้อผ้า >= 1000 หลา
ราคาหลาละ 80 บาท
ถ้าซื้อผ้า
>= 500 หลา ราคาหลาละ 100 บาท
ถ้าซื้อผ้า
<500 หลา ราคาหลาละ 120 บาท
2.ถ้าราคาผ้า >= 100000 บาท ให้ส่วนลด 30%
ถ้าราคาผ้า
>= 50000 บาท ให้ส่วนลด 20%
ถ้าราคาผ้า
>= 10000 บาท ให้ส่วนลด 10%
ถ้าราคาผ้า
<100000 บาท ไม่ให้ส่วนลด
วิธีทำ


1.ชื่อลูกค้า
2.จำนวนหลาที่ซื้อผ้า
3.ราคาผ้า
4.เงินส่วนลด
5.ราคาผ้าสุทธิ

1.ชื่อลูกค้า
2.จำนวนหลาที่ซื้อผ้าตัวแปรที่ใช้
1.ชื่อลูกค้า=
NAME
2.จำนวนหลาที่ซื้อผ้า
=YARD
3.ราคาผ้า=
PRICE
4.เงินส่วนลด=
DISCOUNT
5.ราคาผ้าสุทธิ=
NET

1.เริ่มต้นการทำงาน
2.กำหนดให้
PRICE , DISCOUNT , NET = 0
3.อ่านข้อมูล
NAME, YARD
4.คำนวณราคาผ้า
จากเงื่อนไข
ถ้า YARD >= 1000 ให้ PRICE = YARD * 80 มิฉะนั้นแล้ว
ถ้า YARD >= 500 ให้ PRICE = YARD * 100 มิฉะนั้นแล้ว
ให้ PRICE = YARD * 120
5.คำนวณเงินส่วนลด
จากเงื่อนไข
ถ้า PRICE >= 100000 ให้ DISCOUNT = PRICE * 0.3 มิฉะนั้นแล้ว ถ้า PRICE >= 50000 บาท ให้ DISCOUNT
= PRICE * 0.2 มิฉะนั้นแล้ว
ถ้า PRICE >= 10000 บาท ให้ DISCOUNT = PRICE * 0.1 มิฉะนั้นแล้ว DISCOUNT = 0
6.คำนวณราคาผ้าสุทธิ
NET = PRICE - DISCOUNT
7.พิมพ์ค่า
NAME, YARD , PRICE, DISCOUNT, NET
8.จบการทำงาน
ตัวอย่างที่ 8จงวิเคราะห์ปัญหาเพื่อคำนวณเงินโบนัสประจาปีให้กับพนักงานของบริษัทจำนวน
30 คน และให้คำนวณหาจำนวนเงินโบนัสทั้งหมดที่บริษัทจะต้องเตรียมไว้เพื่อจ่ายให้กับพนักงาน
โดยบริษัทจะคำนวณโบนัสจากอายุการทำงานตามเงื่อนไขดังนี้
ถ้าทำงาน
>= 20 ปี ให้โบนัส 5 เดือน
ถ้าทางาน
>= 10 ปี ให้โบนัส 4 เดือน
ถ้าทางาน
>= 5 ปี ให้โบนัส 3 เดือน
ถ้าทางาน
<5 ปี ให้โบนัส 2 เดือน
วิธีทา


1.ชื่อพนักงาน
2.อายุการทำงาน
3.เงินเดือน
4.เงินโบนัส
5.เงินโบนัสรวมทั้งหมด

1.ชื่อพนักงาน
2.อายุการทำงาน
3.เงินเดือน

1.ชื่อพนักงาน:
NAME
2.อายุการทำงาน:
YEAR
3.เงินเดือน:
SALARY
4.เงินโบนัส:
BONUS
5.เงินโบนัสรวมทั้งหมด:
TOTAL
6.จำนวนพนักงาน:
I

1.เริ่มต้นการทำงาน
2.กำหนดให้
BONUS , TOTAL = 0
3.กำหนดให้
I = 1
4.ในขณะที่I <= 30 ให้ทำ
4.1
อ่านข้อมูล NAME, YEAR , SALARY
4.2
คำนวณเงินโบนัส จากเงื่อนไข
4.2.1
ถ้า YEAR >= 20 ให้ BONUS = SARARY * 5 มิฉะนั้นแล้ว
4.2.2
ถ้า YEAR >= 10 ให้ BONUS = SARARY * 4 มิฉะนั้นแล้ว
4.2.3
ถ้า YEAR >= 5 ให้ BONUS = SARARY * 3 มิฉะนั้นแล้ว
4.2.4 BONUS = SARARY * 2
4.3
พิมพ์ NAME, YEAR , SALARY, BONUS
4.4
สะสมเงินโบนัส TOTAL = TOTAL + BONUS
4.5
นับจานวนพนักงาน I = I + 1
5.พิมพ์เงินโบนัสรวมทั้งหมด
TOTAL
6.จบการทำงาน
***********************
แบบประเมินผลท้ายบท
การวิเคราะห์งาน
1.จงวิเคราะห์ปัญหาเพื่อคำนวณหาพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
2.จงวิเคราะห์ปัญหา
เพื่อคำนวณความสูงเฉลี่ยของนักศึกษาจำนวน 15 คน
3.จงวิเคราะห์ปัญหา
เพื่อคำนวณหาผลบวก , ผลคูณ และผลหาร
ของเลขสองจำนวนที่รับเข้ามาทางแป้นพิมพ์
4.จงวิเคราะห์ปัญหาเพื่อคำนวณหารายได้สุทธิของพนักงาน
โดยที่พนักงานมีรายได้ประจาจากเงินเดือน,เงินล่วงเวลาและเงินช่วยเหลือบุตร
ทุกเดือนจะถูกหักภาษี 2% จากเงินเดือนและเงินล่วงเวลา
5.จงวิเคราะห์ปัญหา
เพื่อคำนวณรายได้สุทธิของพนักงานจำนวนทั้งหมด 20 คน
โดยรายได้มาจากเงินเดือนและค่าคอมมิชชั่นร้อยละ 20 จากการขายสินค้า
พนักงานจะถูกหักเงินประกันสังคมเดือนละ 3% จากรายได้ และให้คำนวณยอดรวมของค่าคอมมิชชั่น,เงินประกันสังคม และรายได้สุทธิ
***********************
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------